kookkla

Kookkla... สวัสดีครับ… และยินดีผู้ที่ได้หลงทางเข้ามาในบล็อกแห่งนี้
ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อกล้านะครับ ชื่อเต็มๆว่า …กุ๊กกล้า… แต่เพื่อนๆเรียกผมว่า …บักกล้า…
วัตถุประสงค์ของการสร้างบล็อกนี้สร้างเพื่อ… เป็นการบันทึกกิจกรรมแต่ล่ะวัน เรื่องเล่า เรื่องขำขัน ระบายความรู้สึกต่างๆ

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรียน ...วิชาสุดท้าย... กับสตีฟ จ๊อบส์

ในวันที่บริษัทแอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone4S โดยซีอีโอคนใหม่ "ทิม คุก"บรรดาสาวกแอปเปิ้ลต่างรู้สึกหวนคิดถึงภาพของ "สตีฟ จ๊อบส์" ในเสื้อผ้าลำลองกางเกงยีนส์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรมันก็ดูน่าหยิบจับน่าเลื่อมใสกับการเป็น ตำนาน ผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ลของเขา

นอกจากความเป็นตำนานนี้ ยังรวมถึงวิธีคิดวิธีทำงานและเส้นทางของจ๊อบส์เองที่เหมือนตะเกียงของคนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับโลกใบนี้ และเป็นไอคอนของแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนไม่น้อยในโลก

ผ่านจากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุคได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน "ตะเกียง"ให้คนรุ่นหลังได้ลองอย่างที่เขาได้ "ลอง"  ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"
สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและสุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี ทว่ามันกลับเหมือนเป็น "คำพูดบอกลา" ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน

"ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่"--สตีฟ จ๊อบส์กล่าว

ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วงของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด , ความรักและการสูญเสีย, ความตาย เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks


บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"

 "ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริง
ของผมให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"

"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ"

"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?"

"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?"

พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้น ก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย

หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน

หลังจากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต

ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรียนแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน

ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จากฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก

การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซักเรื่องนะครับ

มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลาออกแล้ว

ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม

ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ

มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต

ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก

   
บทเรียนที่ 2 ความตาย
  
ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้
ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง
ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมาก

ก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว

ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตก และความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย

เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ

ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร

หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ

ถึงสิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา
ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์ออกมา

ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม

ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่

ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดู
เว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง
เวลาของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น

ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคน เมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ

เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีดกรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย

สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอดและในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่

ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ" ขอบคุณมากครับ


วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

เดือนแห่งการจากลา...

เฮ้ยยยยย... เศร้าจุงเบย

เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการสังสรรค์ สังสรรค์บ่อยมาก
แต่ที่มาของการสังสรรค์ ไม่ใช่เพราะโบนัสออก
หรือว่าได้เลื่อนตำแหน่งนะครับ

แต่...เพราะต้องไปเลี้ยงส่งเพื่อนๆ พี่ๆ ในทีม
เราจะดีใจที่ได้สังสรรค์ หรือจะเสียใจดีนะ

แน่นอนครับ มันต้องเศร้าอยู่แล้วล่ะ
คนเคยเจอ คนเคยพูด คนเคยกวน
เมื่อมีคนนึงหายไป มันก็จะเกิดความรู้สึกหวิวๆ เพราะเราอยู่กันเป็นทีม


เริ่มจาก  พี่แอน...



พี่แอน เป็นพี่สาวที่แสนดีคนหนึ่งเลย
ผมกับพี่เขา เคยรวมทุกข์ ร่วมสุขกันมามาก
สมัยเมื่อผมโดนส่งไปทำงานที่สาขาขอนแก่น
เพื่อไปทำการอบรมเด็กนักศึกษาฝึกงาน
โดยเด็กที่เข้าอบรมมีทั้งหมดตั้ง 28 คนเลยนะครับ
มันเยอะมิใช่น้อย สำหรับมือใหม่แบบผม

ถ้าไม่ได้พี่แอนคอยช่วย ผมแย่แน่เลย
ไม่ว่าจะถ่ายเอกสาร ช่วยออกข้อสอบ
ช่วยสอน ช่วยนัดน้องๆ ช่วยหาสถานที่อบรม
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้
ผมก็สนิทกับพี่แอนมากขึ้น คุยกับพี่แอนได้เกือบทุกเรื่อง
ยกเว้นเรื่องตังค์...555

แต่ที่หน้าเสียดาย คือผมไม่ได้กลับไปเลี้ยงส่งพี่แอนเลย
แต่สัญญานะพี่ ว่าถ้าผมกลับขอนแก่นเมื่อไหร่ เราไปกินร้ามทอมมี่กันดีกว่า...
โอ้ยยยย พูดแล้วหิว


คนต่อมาก็  น้องนก...



น้องคนนี้ ก็คือเด็กฝึกงานที่ผมได้ทำการอบรมให้ พร้อมกับพี่แอนนั่นแหละครับ
ผมชอบเรียกน้องเขาว่าน้องนกยักษ์ ที่เรียกแบบนี้เพราะว่า
ในห้องมีน้องนกสองคน อีกคนผมเรียกนกเล็ก
แต่น้องนกยักษ์ บอกผมว่าอยากให้เรียกนกสวย แต่ผมทำใจที่จะเรียกไม่ได้จริงๆ

น้องนก ตอนที่เข้าอบรม ผมคิดว่าน้องเขาน่าจะไม่ถูกชะตากับผมเท่าไรนักหรอกครับ
เพราะผมจะค่อนข้างดุ ใครไม่ฟัง โดนถามตอบหน้าห้องตลอด
แต่หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกัน เราก็สนิทกันมากขึ้น
เวลาน้องมีปัญหาการทำงานก็จะเข้ามาถาม
โทรมาบ้าง แชทมาถามบ้าง ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว

ก่อนที่นกจะลาออก ผมได้ไปเลี้ยงส่งที่ร้านเนื้อย่างเฮียอ้วน
น้องสารภาพกับผมว่า... แต่ก่อนไม่ชอบผมเลย แต่พอได้คุยด้วย
พี่กล้าเป็นคนที่สนิทที่สุดแล้ว คุยได้ทุกๆ เรื่อง

พี่ก็ขอให้นกโชคดี ออกตามหาความฝันของตัวเองให้เจอนะ... สู้ๆ ไอ้น้อง



คนต่อมา ยังมีอีกหลายคิวครับ คือ น้องๆ ฝึกงานมอนอร์ธ...


น้องกลุ่มนี้ ผมไม่ได้อบรมโดยตรงนะครับ
แค่เข้าไปแว๊บๆ กวนน้องๆ ในห้องเทรนนิ่งบ้าง
เข้าไปถามคำถาม แล้วก็หาเหยื่อในการตอบบ้าง
น้องๆ กลุ่มนี้จะมีหัวโจก ชื่อว่าน้องแพรว...
น้องแพรวจะสนิทกับผมสุดล่ะ ไปไหนมาไหนมีขนมมาฝากผมตลอด
ถึงผมจะไม่ค่อยได้อยู่ที่ออฟฟิศ เวลาที่กลับมาที่โต๊ะ
ก็จะเห็นขนมต่างๆ ว่างไว้ ก็ได้มาจากน้องๆ กลุ่มนี้แหละครับ

และอีกอย่างที่ผมกับน้องแพรวแข่งกับคือ...การลดน้ำหนัก
ซึ่งตอนครั้งแรกที่เจอกัน ผมยังอ้วนเป็นหมูอยู่เลย
ตอนนี้ก็ยังเป็นหมูอยู่ แต่เป็นลูกหมู 555

คืนสุดท้ายที่น้องๆ อบรม  ผม น้องซันเดย์ และน้องน้ำ
( พี่โอ๋ ไม่ได้ไป แต่ฝากเงินมาช่วยสมทบ 1000 บาท อิอิ ขอบคุณแทนน้องๆครับ )
ได้พาน้องๆ ไปเลี้ยงเนื้อย่างกันอีกแล้ว ( โอ้ยยย... จะกลับมาอ้วนแล้วนะ )
แต่เกือบไม่ได้ไป เพราะมีน้องเขาติดงาน เกือบไม่เสร็จ
กว่าจะได้ไป ก็สามทุ่มได้

โต๊ะเราเสียงดังมาก ไม่ต้องถามนะครับว่า เพราะใคร
มันเหมือนจับปูมาใส่กระด้งเลยครับ
เราได้คุยกันในหลายๆ เรื่อง  ทั้งมุขแป็ก ทั้งไม่แป็ก
ขำจนท้องแข็ง ท้องแข็งไม่พอ กลับมาห้องปวดกรามเลย 55

จนผมคิดว่าโต๊ะข้างๆ คงคิดว่าพวกผมเมากัญชากันแน่เลย!!!


มีเรื่องเฮฮา มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากมายบนโต๊ะ
ตามเคยครับ น้องบอกว่าตอนที่อบรม กลัวพี่กล้ามากที่สุดเลย
นึกในใจ ทำไมกลัวตรูคนเดียวตลอดเลย
แต่ตอนนี้ไม่กลัวละ แล้วก็ขำกัน 55

พี่ก็ขอให้น้องๆ โชคดีนะครับ กลับไปเรียนให้จบ
เรียนจบแล้วก็ขอให้ได้งานดีๆ ตามหาฝันตัวเองให้เจอ
ที่สำคัญที่สุด... เป็นคนดีของสังคม ช่วยกันพัฒนาสังคมนี้ให้ดีขึ้น

เฮ้อออ ตอนไหนจะหมดนะ ยังมีอีก ต่อๆ นะ 
(ใครเขาจะอ่านของเราวะ...มรึงเขียนทำไมเนี่ย)


คนต่อมา... น้องหนูนา... และน้องฝึกงานอีกสามคน
(น้องออม ม.รังสิต  และ น้องเนท น้องนิ่ม ม.เกษตร)


น้องคนนี้เหรอ เข้ามาทำงานตอนแรกไม่สนิทกันเลย
เพิ่งมาคุยภาษาคนกันรู้เรื่องเมื่อไม่นานมานี้เอง
มาสนิทช่วงที่ต้องไปตีแบตด้วยกัน
น้องเป็นคนไม่ค่อยพูดนะ เงียบๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก
อารมณ์รุนแรง โมโหง่าย

เมื่อเราสนิทกันแล้ว ผมก็ได้ให้คำแนะนำหนูนาไปหลายเรื่อง
เรื่องแรกที่บอกคือ หนูนาต้องมั่นใจในตัวเองก่อน
ต้องคิดว่าเราทำได้ อย่าคิดว่าไม่ได้
ต้องกล้าแสดงออกมาขึ้น พูดให้มีเหตุผลมากขึ้น

ผมกับน้อง มีเรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจกันด้วย
พี่จะขอบอกเลยนะว่า...
ไม่ว่าพี่จะผิด หรือพี่ถูก
หรือหนูนาผิด หรือหนูนาถูก
พี่ก็ขอโทษด้วยล่ะกันนะครับ และคำขอโทษนี้
ผมก็ได้บอกหนูนาไปแล้ว แล้วก็รู้สึกสบายใจดี...

บ้างครั้ง...การเอ่ยคำขอโทษก่อน มันก็ไม่ได้แสดงว่าเราแพ้
แต่มันแสดงให้เห็นว่า เราอภัยให้คนนั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด
เพื่อไม่ให้เกิดกรรมแก่กัน

ส่วนน้องออม น้องเนท น้องนิ่ม ผมไม่ค่อยได้คุยกัน
น้องๆ เข้ามาจังหวะที่ผมต้องไปนั่งไซต์ลูกค้าพอดีเลย

พวกผม นำโดยพี่หนุ่ม พี่โอ๋ ผม และคนในทีม เกือบครบทีมเลย
ได้พากันไปเลี้ยงส่งน้องหนูนา และน้องฝึกงาน ที่ร้านอิ่มปลาเผา
วันนี้คนไปเยอะเลย ถ้าจำไม่ผิดก็ 16 คนได้นะครับ
(1 ทีมเลย กับตัวสำรอง ทีมฟุตบอลนะ...)

ประโยคสุดท้ายที่ได้บอกน้องนา ที่โต๊ะข้าวคือ ขอให้นาโชคดี
ได้งานไวๆ สมปรารถนาทุกๆ เรื่อง

และวันนี้ ผมยังได้ข้อความจากโปรแกรม Line บนมือถือว่า
เมื่อกี้หนูเจอพี่ด้วย พี่กำลังข้ามถนนที่ปากเกร็ด 555
เราก็นึกขำนะครับว่า เฮ้อ เราทำงานกันคนละที่แล้ว
แต่ว่าเรายังอยู่ใกล้กันนินาาาาา อยู่ปากเกร็ดแถวเดียวกันเลย


จะคนสุดท้ายยังน้าาาา คนสุดท้ายแล้วครับ
เป็นพี่สาวที่แสนดีอีกคน คือพี่ตุ๊กตา...


พี่ตุ๊กตา ชื่อนี้ได้ยินมานานแล้ว รู้จักมานานแล้ว
แต่เพิ่งเคยได้ร่วมงานด้วยกัน
เราได้มาทำงานโปรเจคเดียวกัน ตั้งแต่กลางปีที่แล้วเห็นจะได้ครับ

เวลาเลิกงาน ผมก็จะได้พึ่งบารมีพี่ตุ๊กตา ติดรถพี่แกไปลงที่ท่ารถเลย ไม่ก็ลงแยกสวนสมเด็จ
บ้างทีก็มีพาไปซื้อขนม S&P ก่อนกลับบ้าน
เนื่องจากพี่แกจะรู้ว่า วันไหนมีโปรโมชั่น ก็จะพาไป
เห็นไหมล่ะครับ ว่าน่ารู้จักพี่แกขนาดไหน อิอิ ไม่ต้องอิจฉาผมนะ

ขนาดไปเที่ยวทริปของออฟฟิศจัดขึ้นมา ผมเกือบไม่ได้ไป
แต่โชคดี ได้ติดรถพี่ตุ๊กตาตามหลังไป....

แต่ผมก็มีเรื่องที่ตื่นเต้น คือตอนที่อยู่ไซต์ลูกค้า
พี่ตุ๊กตาเกิดไม่สบายกะทันหัน เป็นเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจพี่แกด้วย
ทำให้ขับรถไม่ได้  ผมได้ขับรถพี่แกจากสีลม ไปพญาไทสอง
เพื่อส่งพี่ตุ๊กตาเข้าโรงพยาบาล
แล้วก็นั่งรอหมอเป็นเพือน และรอพี่เก่งมารับพี่ตุ๊กตากลับบ้านด้วย
(พี่เก่งเป็นแฟนพี่ตุ๊กตานะครับ)
ผลออกมาเป็นข่าวร้าย...
จะบอกว่าช่วงเวลาที่ผมขับรถมาโรงพยาบาล
เป็นช่วงเวลาที่เครียดมาก ผมไม่รู้จะปลอบใจพี่แกยังไง
จะพูดอะไร จะทำตัวยังไง ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ประหม่า
ตัวสั่นเลย และเหตุการณ์นั้นทำให้ผมรู้ว่า...
ความรักของแม่ที่มีต่อลูกมันมหาศาล เกินจะบรรยายจริงๆ

พี่ตุ๊กตา เรายังไม่ได้พาพี่แกไปเลี้ยงส่งกันเลย
วันสุดท้ายที่ทำงานด้วยกัน ได้แต่บอกพี่แกว่า โชคดีนะครับพี่
ผมดีใจด้วยนะ ที่ดีใจเพราะงานที่ใหม่ของพี่แก เป็นบริษัทต่างชาติ
ตำแหน่งหน้าที่การทำงานดีขึ้น
แต่ก็แอบหวิววว เน้อ....

วันทำงานวันแรก พี่ตุ๊กตาส่งข้อความมาบอกว่า
ประชุมทั้งวันเลย ที่ทำงานใหม่น่าอยู่มาก 555
ส่งมาให้คนอิจฉาเหรอครับพี่น้องครับ..

พี่ตุ๊กตา อย่าลืมสัญญาที่บอกล่ะ ถ้ามาแถวๆ เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ
จะส่งข้อความ Line มาบอก จะบอกว่าพี่คนนี้บ้านอยู่แถวเดียวกันกับผมอีกแล้ว
เราเคยเจอกันที่ห้างด้วย พี่แกไปทานข้าวกับพี่เก่ง ส่วนผมไปออกกำลังกาย

หมดแล้วครับ หมดจริงๆ แต่ถ้าคนที่เข้ามาอ่านคิดว่ามันน้อยไป
ผมก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงแล้ว 555


ธรรมดาของชีวิต...
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา ฉันใดฉันนั้น การทำงานก็ต้องมีการจากลา เช่นกัน 

ธรรมดาของการทำงานครับ เมื่อมีการรับคนมาทำงาน ก็ต้องมีคนลาออก เช่นกัน
มีทั้งคนเข้า และคนออก เป็นอย่างนี้ทุกบริษัทนะผมว่า
มันอยู่ที่ว่า เราอยู่ตรงไหนแล้วมีความสุข...

บางคนอยู่บริษัทนี้แล้วไม่มีความสุข
บางคนอยู่บริษัทนี้แล้วมีความสุข

เหตุผลของคนเราไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกันจริงไหมครับ

บางคนออกเพราะเรื่องบางเรื่อง
บางคนออกเพราะปัญหาบางปัญหา
บางคนออกเพราะสถานที่ทำงาน
บางคนออกเพราะอยากปรับเงินเดือน
บางคนออกเพราะงานหนัก
บางคนออกเพราะอยากออก

แต่ในขณะที่อีกบางคนอยู่ได้

อยากอยู่ต่อเพราะชอบคนบางคน
อยากอยู่ต่อเพราะชอบสังคม
อยากอยู่ต่อเพราะชอบวัฒนธรรม องค์กร
อยากอยู่ต่อเพราะได้ทำงานหนัก
อยากอยู่ต่อเพราะอยากอยู่

บางสถานที่เงินเดือนน้อย แต่ทำไมพนักงานในบริษัทเขาขยันกันจัง
บางสถานที่เงินเดือนเยอะ แต่ทำไมคนออกเยอะจัง

มันไม่มีเหตุผลที่ตายตัวหรอกครับ

บางที่งานหนัก แต่ทำไมพนักงานยอมทำกัน
บางที่งานเบา มี OT ด้วย แต่ทำไมพนักงานกันยังลาออกกัน

น่าคิดไหมครับ...

ผมว่ามันอยู่ที่...
คนแต่ละคน...รับได้...กับสถานที่แบบไหน

อยู่ตรงนี้แล้วมีความสุขก็อยู่ต่อไป 
แต่ถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุขก็ออกไปตามหาที่ใหม่ ที่อยู่แล้วมีความสุข

ซึ่งมันก็คือ ความสุข ณ จุดที่ยืน นั่นเองครับ...

........