kookkla

Kookkla... สวัสดีครับ… และยินดีผู้ที่ได้หลงทางเข้ามาในบล็อกแห่งนี้
ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อกล้านะครับ ชื่อเต็มๆว่า …กุ๊กกล้า… แต่เพื่อนๆเรียกผมว่า …บักกล้า…
วัตถุประสงค์ของการสร้างบล็อกนี้สร้างเพื่อ… เป็นการบันทึกกิจกรรมแต่ล่ะวัน เรื่องเล่า เรื่องขำขัน ระบายความรู้สึกต่างๆ

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เดินตามรอยเท้าแม่... เดินตามรอยเท้าพ่อ...

 สวัสดีครับ... ไม่ได้เขียนซะนานเลย
เมื่อต้นเดือนเป็นวันเกิดของคุณพ่อ
แต่คุณพ่อไม่สบาย มีอากาศเวียนหัวหน้ามืด เกือบจะเป็นลม

ผมไม่ได้กลับบ้านนะ ในวันเกิดของท่านได้
ได้แต่โทรศัพท์ไปอวยพร
เพราะคิดว่าจะกลับช่วงปลายเดือน
ช่วงวันปิยมหาราช...

พอพ่อไม่สบาย  น้องสาวก็ไปไปนัดหมอ เพื่อจะฉีดสี  เพื่อให้พ่อเอ็กซะเรย์ อย่างละเอียด
ได้วันที่ 10 ตุลาคม แม่จึงโทรมาให้เราลางานกลับบ้านต่างจังหวัด  เราก็โอเคนะ  ได้เดียวกลับบ้านไป
พาพ่อไปหาหมอ เป็นกำลังใจแกหน่อย

พอถึงวันที่จะกลับ แม่โทรมาบอกว่า พ่อไม่ยอมไปหาหมอ
พ่อแอบดื้อไม่ยอมไป  ส่วนนึงมาจากการที่บ้านกำลังยุ่ง
ช่วงขายของ และพ่อคงแอบกลัวๆๆ  แม่เลยถามว่า  ...จะกลับไหม...
เราก็เอ้อ จองตั๊วรถไว้แล้วนินา ก็กลับซะหน่อย ไปดูพ่อ
เผื่อพ่อเปลี่ยนใจ

แต่การกลับมาครั้งนี้  ผมได้ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างกลับมา
บ้างครั้ง  เราก็ทำงานจนลืมว่าที่บ้านยุ่ง ลำบากขนาดไหน
ในขณะที่เราไปทำงานที่ กทม

แม่ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาเตรียมของให้ลูกค้า
พ่อก็จับโน้นนี้มาทำ ทั้งวัน
เห็นแล้วนึกถึงตัวเองที่ สบายอยู่คนเดียวที่ กทม

และสิ่งที่ผมเริ่มคิดได้ แทบจะร้องไห้เลย
คือตอนเย็นปิดร้าน  ผมอยู่บ้านกับพ่อสองคน
แม่ออกไปงานทอดกฐินข้างนอก

ผมอยู่บนห้อง พ่อดูทีวี ด้านล่างนะ
ผมก็เลยเดิน ว่าจะไปนั่งเล่นกับพ่อ
พ่อได้ยืนสิ่งนึงให้  ผมเห็นแล้ว น้ำตาจะไหลเลย
เพราะเคยขอพ่อแล้วพ่อไม่ให้  เป็นสิ่งที่มีสิ่งเดียวในโลกแน่นอน

ขอบคุณมากนะครับพ่อครับ พ่อจะเก็บรักษาตราบชีวิตผมจะหาไหม้เลย
ขนาดเราไม่อยู่บ้าน  พ่อยังให้เรานะ
สำหรับคนอื่น มันอาจเป็นสิ่งไม่มีค่า
แต่สำหรับเรา มันมีคุณค่าทางจิตใจอย่างมาก

วันนั้นเรารู้สึกแย่ แย่กับตัวเอง แย่กับพ่อแม่
เรารู้สึกเลยว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรให้ทานหลายๆอย่าง

วันต่อมา ผมได้มีโอกาสไปกับแม่ แม่ต้องไปทำธุระที่บ้านของลูกค้า
ที่อยู่หมู่บ้านต่างๆ ในขณะที่เราขับรถไป เราก็นึกถึงสมัยก่อน
ที่เรากับแม่ชอบไปบ้านลูกค้าด้วยกัน พอเราขับรถผ่าน บ้านโน้น บ้านนี้  เราก็อ้อ เราเคยมา
บ้านนี้เราก็เคยมา บ้านโน้นก็เคยมา  มันเหมือนความทรงจำที่หายไป ได้กลับคืนมา

มันนานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้มากับแม่แบบนี้นะ  นานจนเราแทบจำไม่ได้
ตลอดระยะทางแม่จะเล่าเรื่องที่แม่เจอ  เรื่องที่แม่ขายของ เรื่องลูกค้า
เรื่องตลกต่างๆอีกมากมาย  ช่วงเวลาแต่สามชั่วโมงกว่าๆในการพาแม่ไปทำธุระ
ไม่รู้แม่พูดอะไรบ้าง เยอะแยะไปหมด  เวลาแม่พูด แม่จะภูมิใจมากในงานของตัวเอง
ที่แม่สร้างมันมากับมือ  ผมเห็นรอยยิ้มของท่านนะ

เราดูคอยดูแม่เล่า  ดูแม่เดินไปหาลูกค้า
ดูแม่พูดคุย  แม่มีความสุขมาก
แต่ถามว่าท่านเหนือยมั๊ย  ฉันตอบเลยว่ามาก
ตอนนี้แม่เดินกระเพก  ขาทั้งสองข้างเริ่มโก่ง

แล้วเราล่ะ ทำอะไรให้แม่เราภูมิใจ  สบายใจ
ทำให้ท่านสบายได้หรือยัง

คำตอบยัง...
ฉันเห็นรอยเท้าที่แม่เดิน
ฉันเห็นรอยเท้าที่พ่อก้าว
แล้วฉันล่ะ ทำไม่เดินทางตามรอยเท้าท่าน

หลังจากนี้  ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง
เปลี่ยนแปลงอะไรให้มันดีกว่านี้

มือที่แม่ให้มา  เท้าที่พ่อให้มา
สมอง ความรู้ที่ท่านทั้งสองให้เรามา
เราใช้มัน ทำให้ท่านสบายได้หรือยัง ?

ฉันต้องทำให้ท่านสบายให้ได้
ตอนนี้ยังไม่สาย
ฉันต้องเริ่ม คิดใหม่  ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่

เดียวคืนนี้ก่อนนอน  ฉันจะไปกราบเท้าแม่ กราบเท้าพ่อ
ขอพรให้ฉัน มีความกล้าหาญ มีสติปัญญา ให้ฉันผ่าฟังอุปสรรคไปได้
ฉันจะต้องสำเร็จ

สุดท้ายกลับบ้านครั้งนี้  ทำให้ฉันคิดว่า
ถึงเวลาล่ะ ที่เราต้อง เดินตามรอยเท้าพ่อแม่
ถึงเวลาล่ะ ยังไม่สาย
ฉันต้องทำให้ท่านสบาย และภาคภูมิใจให้ได้

สัญญา  รักพ่อกับแม่นะครับ...

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สํานวนภาษาอังกฤษเรื่องความรัก



The best and most beautiful things cannot be seen or even touched, they must be felt with the heart.
สิ่งที่สวยงามที่สุดมิอาจสัมผัสได้โดยสัมผัสทางกาย ทว่าต้องรับรู้ผ่านหัวใจ

When you love someone..you'll do anything to reach the heart of the one you love.
เมื่อคุณรักใครสักคน...คุณจะทำทุกอย่างเพื่อชนะใจเขา

When you feel true love...you follow the way of the heart.
เมื่อมีรักแท้...คุณก็พร้อมที่จะไปตามเสียงเรียกร้อง ของหัวใจ

When you're in love..life is like a romance novel that you never want to end.
เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก ..ชีวิตก็เหมือนดั่งนิยายที่คุณอ่านไม่จบ

True love is like a jigsaw puzzle. The pieces will find themselves when they are right for each other.
ความ รักที่แท้จริงก็เหมือนกับเกมจิ๊กซอร์ ชิ้นส่วนทั้งหมดจะสามารถค้นพบตัวเองได้ก็ต่อเมื่อแต่ ละชิ้นสามารถหาชิ้นที่"ใช่"สำหรับตัวมันเอง

To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!!
การได้รักเป็นเพียงความว่างเปล่า การถูกรักเป็นเพียงแค่บางสิ่งบางอย่าง ส่วนการได้รักและการถูกรัก นั้นเป็นทุกอย่าง

It's not too hard to find some love but it's also not easy to make that love to be forever.
อันความรักไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้มา และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่จะรักษาความรักนั้นให้อยู่เป็นนิรันดร์

Life is beautiful with people like you in it.
ชีวิตช่างงดงามนัก เมื่อมีคนอย่างคุณอยู่ด้วย

The only abnormality is the incapacity to love.
ได้มีรักและสูญเสียมันไป ยังดีเสียกว่า ไม่รู้จักความรักเลย

Thoughts of you brighten up my day.
การได้คิดถึงคุณ ทำให้วันของฉัน..สว่างไสว

To LOVE is to GIVE.
ความรักคือการให้

When you love someone, say it. Say it loud. Say it right away, or the moment...just passes you by. 
เมื่อไหร่ที่คุณรักใครสักคน จงบอกเขา บอกไปเลยดังๆ ว่า คุณรักเขามากมายแค่ไหน อย่าปล่อยจนถึงวันที่เขาไม่อยู่ให้คุณบอกรัก

Love is composed of a single soul inhabiting two bodies.
ความรักคือ การรวมจิตวิญญาณของคนสองคนให้เป็นหนึ่ง

If I can stop one heart from breaking, I shall not live in vain.
ถ้าฉันสามารถหยุดหัวใจเพียงหนึ่งเดียวนี้ไม่ให้แตกสล ายได้ ฉันคงไม่อยู่อย่างเปล่าไร้เช่นนี้

If you love something...let it go, if it comes back to you it was truly meant to be.
ถ้าคุณรักในใครซักคน จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระ เพราะถ้าคู่กันแล้ว ยังไงซะเขาก็เป็นของคุณ

It's easy to say 'I LOVE YOU'. But only 'I DO' says you're really one, for always...
คําว่ารักใครก็พูดได้ แต่สิ่งสําคัญกว่านั้นคือรักที่รักจริงๆ จากหัวใจ

Love can make you happy but often times it hurts, but love is only special when you give it to who its worth.
ความรักสร้างสรรค์ความสุข แต่บ่อยครั้งก็สร้างความเจ็บปวด ทว่า..เมื่อคุณให้ความรักแก่คนที่สมควรได้รับ..ความร ักนั้นจะมากค่า

Love has no control and neither does one's mind when they are in love.
ความรักไม่มีกฎเกณฑ์บังคับ ไฉนเราจะบังคับคนที่กำลังมีความรักได้

True love lasts forever.
ความรักที่แท้จริงเป็นอมตะ

Some people think that it's holding on that makes one strong, Sometimes it's letting go.
บางคนคิดว่า การได้ครอบครองในสิ่งที่รัก จะทำให้รู้สึกมั่นคงในรัก แต่บางทีการให้อิสระ อาจจะมีค่ามากกว่านั้น

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรียน ...วิชาสุดท้าย... กับสตีฟ จ๊อบส์

ในวันที่บริษัทแอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone4S โดยซีอีโอคนใหม่ "ทิม คุก"บรรดาสาวกแอปเปิ้ลต่างรู้สึกหวนคิดถึงภาพของ "สตีฟ จ๊อบส์" ในเสื้อผ้าลำลองกางเกงยีนส์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรมันก็ดูน่าหยิบจับน่าเลื่อมใสกับการเป็น ตำนาน ผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ลของเขา

นอกจากความเป็นตำนานนี้ ยังรวมถึงวิธีคิดวิธีทำงานและเส้นทางของจ๊อบส์เองที่เหมือนตะเกียงของคนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับโลกใบนี้ และเป็นไอคอนของแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนไม่น้อยในโลก

ผ่านจากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุคได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน "ตะเกียง"ให้คนรุ่นหลังได้ลองอย่างที่เขาได้ "ลอง"  ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"
สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและสุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี ทว่ามันกลับเหมือนเป็น "คำพูดบอกลา" ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน

"ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่"--สตีฟ จ๊อบส์กล่าว

ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วงของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด , ความรักและการสูญเสีย, ความตาย เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks


บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"

 "ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริง
ของผมให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"

"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ"

"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?"

"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?"

พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้น ก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย

หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน

หลังจากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต

ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรียนแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน

ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จากฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก

การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซักเรื่องนะครับ

มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลาออกแล้ว

ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม

ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ

มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต

ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก

   
บทเรียนที่ 2 ความตาย
  
ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้
ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง
ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมาก

ก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว

ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตก และความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย

เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ

ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร

หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ

ถึงสิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา
ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์ออกมา

ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม

ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่

ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดู
เว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง
เวลาของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น

ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคน เมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ

เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีดกรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย

สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอดและในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่

ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ" ขอบคุณมากครับ


วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

เดือนแห่งการจากลา...

เฮ้ยยยยย... เศร้าจุงเบย

เดือนนี้เป็นเดือนแห่งการสังสรรค์ สังสรรค์บ่อยมาก
แต่ที่มาของการสังสรรค์ ไม่ใช่เพราะโบนัสออก
หรือว่าได้เลื่อนตำแหน่งนะครับ

แต่...เพราะต้องไปเลี้ยงส่งเพื่อนๆ พี่ๆ ในทีม
เราจะดีใจที่ได้สังสรรค์ หรือจะเสียใจดีนะ

แน่นอนครับ มันต้องเศร้าอยู่แล้วล่ะ
คนเคยเจอ คนเคยพูด คนเคยกวน
เมื่อมีคนนึงหายไป มันก็จะเกิดความรู้สึกหวิวๆ เพราะเราอยู่กันเป็นทีม


เริ่มจาก  พี่แอน...



พี่แอน เป็นพี่สาวที่แสนดีคนหนึ่งเลย
ผมกับพี่เขา เคยรวมทุกข์ ร่วมสุขกันมามาก
สมัยเมื่อผมโดนส่งไปทำงานที่สาขาขอนแก่น
เพื่อไปทำการอบรมเด็กนักศึกษาฝึกงาน
โดยเด็กที่เข้าอบรมมีทั้งหมดตั้ง 28 คนเลยนะครับ
มันเยอะมิใช่น้อย สำหรับมือใหม่แบบผม

ถ้าไม่ได้พี่แอนคอยช่วย ผมแย่แน่เลย
ไม่ว่าจะถ่ายเอกสาร ช่วยออกข้อสอบ
ช่วยสอน ช่วยนัดน้องๆ ช่วยหาสถานที่อบรม
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้
ผมก็สนิทกับพี่แอนมากขึ้น คุยกับพี่แอนได้เกือบทุกเรื่อง
ยกเว้นเรื่องตังค์...555

แต่ที่หน้าเสียดาย คือผมไม่ได้กลับไปเลี้ยงส่งพี่แอนเลย
แต่สัญญานะพี่ ว่าถ้าผมกลับขอนแก่นเมื่อไหร่ เราไปกินร้ามทอมมี่กันดีกว่า...
โอ้ยยยย พูดแล้วหิว


คนต่อมาก็  น้องนก...



น้องคนนี้ ก็คือเด็กฝึกงานที่ผมได้ทำการอบรมให้ พร้อมกับพี่แอนนั่นแหละครับ
ผมชอบเรียกน้องเขาว่าน้องนกยักษ์ ที่เรียกแบบนี้เพราะว่า
ในห้องมีน้องนกสองคน อีกคนผมเรียกนกเล็ก
แต่น้องนกยักษ์ บอกผมว่าอยากให้เรียกนกสวย แต่ผมทำใจที่จะเรียกไม่ได้จริงๆ

น้องนก ตอนที่เข้าอบรม ผมคิดว่าน้องเขาน่าจะไม่ถูกชะตากับผมเท่าไรนักหรอกครับ
เพราะผมจะค่อนข้างดุ ใครไม่ฟัง โดนถามตอบหน้าห้องตลอด
แต่หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกัน เราก็สนิทกันมากขึ้น
เวลาน้องมีปัญหาการทำงานก็จะเข้ามาถาม
โทรมาบ้าง แชทมาถามบ้าง ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว

ก่อนที่นกจะลาออก ผมได้ไปเลี้ยงส่งที่ร้านเนื้อย่างเฮียอ้วน
น้องสารภาพกับผมว่า... แต่ก่อนไม่ชอบผมเลย แต่พอได้คุยด้วย
พี่กล้าเป็นคนที่สนิทที่สุดแล้ว คุยได้ทุกๆ เรื่อง

พี่ก็ขอให้นกโชคดี ออกตามหาความฝันของตัวเองให้เจอนะ... สู้ๆ ไอ้น้อง



คนต่อมา ยังมีอีกหลายคิวครับ คือ น้องๆ ฝึกงานมอนอร์ธ...


น้องกลุ่มนี้ ผมไม่ได้อบรมโดยตรงนะครับ
แค่เข้าไปแว๊บๆ กวนน้องๆ ในห้องเทรนนิ่งบ้าง
เข้าไปถามคำถาม แล้วก็หาเหยื่อในการตอบบ้าง
น้องๆ กลุ่มนี้จะมีหัวโจก ชื่อว่าน้องแพรว...
น้องแพรวจะสนิทกับผมสุดล่ะ ไปไหนมาไหนมีขนมมาฝากผมตลอด
ถึงผมจะไม่ค่อยได้อยู่ที่ออฟฟิศ เวลาที่กลับมาที่โต๊ะ
ก็จะเห็นขนมต่างๆ ว่างไว้ ก็ได้มาจากน้องๆ กลุ่มนี้แหละครับ

และอีกอย่างที่ผมกับน้องแพรวแข่งกับคือ...การลดน้ำหนัก
ซึ่งตอนครั้งแรกที่เจอกัน ผมยังอ้วนเป็นหมูอยู่เลย
ตอนนี้ก็ยังเป็นหมูอยู่ แต่เป็นลูกหมู 555

คืนสุดท้ายที่น้องๆ อบรม  ผม น้องซันเดย์ และน้องน้ำ
( พี่โอ๋ ไม่ได้ไป แต่ฝากเงินมาช่วยสมทบ 1000 บาท อิอิ ขอบคุณแทนน้องๆครับ )
ได้พาน้องๆ ไปเลี้ยงเนื้อย่างกันอีกแล้ว ( โอ้ยยย... จะกลับมาอ้วนแล้วนะ )
แต่เกือบไม่ได้ไป เพราะมีน้องเขาติดงาน เกือบไม่เสร็จ
กว่าจะได้ไป ก็สามทุ่มได้

โต๊ะเราเสียงดังมาก ไม่ต้องถามนะครับว่า เพราะใคร
มันเหมือนจับปูมาใส่กระด้งเลยครับ
เราได้คุยกันในหลายๆ เรื่อง  ทั้งมุขแป็ก ทั้งไม่แป็ก
ขำจนท้องแข็ง ท้องแข็งไม่พอ กลับมาห้องปวดกรามเลย 55

จนผมคิดว่าโต๊ะข้างๆ คงคิดว่าพวกผมเมากัญชากันแน่เลย!!!


มีเรื่องเฮฮา มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากมายบนโต๊ะ
ตามเคยครับ น้องบอกว่าตอนที่อบรม กลัวพี่กล้ามากที่สุดเลย
นึกในใจ ทำไมกลัวตรูคนเดียวตลอดเลย
แต่ตอนนี้ไม่กลัวละ แล้วก็ขำกัน 55

พี่ก็ขอให้น้องๆ โชคดีนะครับ กลับไปเรียนให้จบ
เรียนจบแล้วก็ขอให้ได้งานดีๆ ตามหาฝันตัวเองให้เจอ
ที่สำคัญที่สุด... เป็นคนดีของสังคม ช่วยกันพัฒนาสังคมนี้ให้ดีขึ้น

เฮ้อออ ตอนไหนจะหมดนะ ยังมีอีก ต่อๆ นะ 
(ใครเขาจะอ่านของเราวะ...มรึงเขียนทำไมเนี่ย)


คนต่อมา... น้องหนูนา... และน้องฝึกงานอีกสามคน
(น้องออม ม.รังสิต  และ น้องเนท น้องนิ่ม ม.เกษตร)


น้องคนนี้เหรอ เข้ามาทำงานตอนแรกไม่สนิทกันเลย
เพิ่งมาคุยภาษาคนกันรู้เรื่องเมื่อไม่นานมานี้เอง
มาสนิทช่วงที่ต้องไปตีแบตด้วยกัน
น้องเป็นคนไม่ค่อยพูดนะ เงียบๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก
อารมณ์รุนแรง โมโหง่าย

เมื่อเราสนิทกันแล้ว ผมก็ได้ให้คำแนะนำหนูนาไปหลายเรื่อง
เรื่องแรกที่บอกคือ หนูนาต้องมั่นใจในตัวเองก่อน
ต้องคิดว่าเราทำได้ อย่าคิดว่าไม่ได้
ต้องกล้าแสดงออกมาขึ้น พูดให้มีเหตุผลมากขึ้น

ผมกับน้อง มีเรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจกันด้วย
พี่จะขอบอกเลยนะว่า...
ไม่ว่าพี่จะผิด หรือพี่ถูก
หรือหนูนาผิด หรือหนูนาถูก
พี่ก็ขอโทษด้วยล่ะกันนะครับ และคำขอโทษนี้
ผมก็ได้บอกหนูนาไปแล้ว แล้วก็รู้สึกสบายใจดี...

บ้างครั้ง...การเอ่ยคำขอโทษก่อน มันก็ไม่ได้แสดงว่าเราแพ้
แต่มันแสดงให้เห็นว่า เราอภัยให้คนนั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด
เพื่อไม่ให้เกิดกรรมแก่กัน

ส่วนน้องออม น้องเนท น้องนิ่ม ผมไม่ค่อยได้คุยกัน
น้องๆ เข้ามาจังหวะที่ผมต้องไปนั่งไซต์ลูกค้าพอดีเลย

พวกผม นำโดยพี่หนุ่ม พี่โอ๋ ผม และคนในทีม เกือบครบทีมเลย
ได้พากันไปเลี้ยงส่งน้องหนูนา และน้องฝึกงาน ที่ร้านอิ่มปลาเผา
วันนี้คนไปเยอะเลย ถ้าจำไม่ผิดก็ 16 คนได้นะครับ
(1 ทีมเลย กับตัวสำรอง ทีมฟุตบอลนะ...)

ประโยคสุดท้ายที่ได้บอกน้องนา ที่โต๊ะข้าวคือ ขอให้นาโชคดี
ได้งานไวๆ สมปรารถนาทุกๆ เรื่อง

และวันนี้ ผมยังได้ข้อความจากโปรแกรม Line บนมือถือว่า
เมื่อกี้หนูเจอพี่ด้วย พี่กำลังข้ามถนนที่ปากเกร็ด 555
เราก็นึกขำนะครับว่า เฮ้อ เราทำงานกันคนละที่แล้ว
แต่ว่าเรายังอยู่ใกล้กันนินาาาาา อยู่ปากเกร็ดแถวเดียวกันเลย


จะคนสุดท้ายยังน้าาาา คนสุดท้ายแล้วครับ
เป็นพี่สาวที่แสนดีอีกคน คือพี่ตุ๊กตา...


พี่ตุ๊กตา ชื่อนี้ได้ยินมานานแล้ว รู้จักมานานแล้ว
แต่เพิ่งเคยได้ร่วมงานด้วยกัน
เราได้มาทำงานโปรเจคเดียวกัน ตั้งแต่กลางปีที่แล้วเห็นจะได้ครับ

เวลาเลิกงาน ผมก็จะได้พึ่งบารมีพี่ตุ๊กตา ติดรถพี่แกไปลงที่ท่ารถเลย ไม่ก็ลงแยกสวนสมเด็จ
บ้างทีก็มีพาไปซื้อขนม S&P ก่อนกลับบ้าน
เนื่องจากพี่แกจะรู้ว่า วันไหนมีโปรโมชั่น ก็จะพาไป
เห็นไหมล่ะครับ ว่าน่ารู้จักพี่แกขนาดไหน อิอิ ไม่ต้องอิจฉาผมนะ

ขนาดไปเที่ยวทริปของออฟฟิศจัดขึ้นมา ผมเกือบไม่ได้ไป
แต่โชคดี ได้ติดรถพี่ตุ๊กตาตามหลังไป....

แต่ผมก็มีเรื่องที่ตื่นเต้น คือตอนที่อยู่ไซต์ลูกค้า
พี่ตุ๊กตาเกิดไม่สบายกะทันหัน เป็นเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจพี่แกด้วย
ทำให้ขับรถไม่ได้  ผมได้ขับรถพี่แกจากสีลม ไปพญาไทสอง
เพื่อส่งพี่ตุ๊กตาเข้าโรงพยาบาล
แล้วก็นั่งรอหมอเป็นเพือน และรอพี่เก่งมารับพี่ตุ๊กตากลับบ้านด้วย
(พี่เก่งเป็นแฟนพี่ตุ๊กตานะครับ)
ผลออกมาเป็นข่าวร้าย...
จะบอกว่าช่วงเวลาที่ผมขับรถมาโรงพยาบาล
เป็นช่วงเวลาที่เครียดมาก ผมไม่รู้จะปลอบใจพี่แกยังไง
จะพูดอะไร จะทำตัวยังไง ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ประหม่า
ตัวสั่นเลย และเหตุการณ์นั้นทำให้ผมรู้ว่า...
ความรักของแม่ที่มีต่อลูกมันมหาศาล เกินจะบรรยายจริงๆ

พี่ตุ๊กตา เรายังไม่ได้พาพี่แกไปเลี้ยงส่งกันเลย
วันสุดท้ายที่ทำงานด้วยกัน ได้แต่บอกพี่แกว่า โชคดีนะครับพี่
ผมดีใจด้วยนะ ที่ดีใจเพราะงานที่ใหม่ของพี่แก เป็นบริษัทต่างชาติ
ตำแหน่งหน้าที่การทำงานดีขึ้น
แต่ก็แอบหวิววว เน้อ....

วันทำงานวันแรก พี่ตุ๊กตาส่งข้อความมาบอกว่า
ประชุมทั้งวันเลย ที่ทำงานใหม่น่าอยู่มาก 555
ส่งมาให้คนอิจฉาเหรอครับพี่น้องครับ..

พี่ตุ๊กตา อย่าลืมสัญญาที่บอกล่ะ ถ้ามาแถวๆ เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ
จะส่งข้อความ Line มาบอก จะบอกว่าพี่คนนี้บ้านอยู่แถวเดียวกันกับผมอีกแล้ว
เราเคยเจอกันที่ห้างด้วย พี่แกไปทานข้าวกับพี่เก่ง ส่วนผมไปออกกำลังกาย

หมดแล้วครับ หมดจริงๆ แต่ถ้าคนที่เข้ามาอ่านคิดว่ามันน้อยไป
ผมก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงแล้ว 555


ธรรมดาของชีวิต...
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา ฉันใดฉันนั้น การทำงานก็ต้องมีการจากลา เช่นกัน 

ธรรมดาของการทำงานครับ เมื่อมีการรับคนมาทำงาน ก็ต้องมีคนลาออก เช่นกัน
มีทั้งคนเข้า และคนออก เป็นอย่างนี้ทุกบริษัทนะผมว่า
มันอยู่ที่ว่า เราอยู่ตรงไหนแล้วมีความสุข...

บางคนอยู่บริษัทนี้แล้วไม่มีความสุข
บางคนอยู่บริษัทนี้แล้วมีความสุข

เหตุผลของคนเราไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกันจริงไหมครับ

บางคนออกเพราะเรื่องบางเรื่อง
บางคนออกเพราะปัญหาบางปัญหา
บางคนออกเพราะสถานที่ทำงาน
บางคนออกเพราะอยากปรับเงินเดือน
บางคนออกเพราะงานหนัก
บางคนออกเพราะอยากออก

แต่ในขณะที่อีกบางคนอยู่ได้

อยากอยู่ต่อเพราะชอบคนบางคน
อยากอยู่ต่อเพราะชอบสังคม
อยากอยู่ต่อเพราะชอบวัฒนธรรม องค์กร
อยากอยู่ต่อเพราะได้ทำงานหนัก
อยากอยู่ต่อเพราะอยากอยู่

บางสถานที่เงินเดือนน้อย แต่ทำไมพนักงานในบริษัทเขาขยันกันจัง
บางสถานที่เงินเดือนเยอะ แต่ทำไมคนออกเยอะจัง

มันไม่มีเหตุผลที่ตายตัวหรอกครับ

บางที่งานหนัก แต่ทำไมพนักงานยอมทำกัน
บางที่งานเบา มี OT ด้วย แต่ทำไมพนักงานกันยังลาออกกัน

น่าคิดไหมครับ...

ผมว่ามันอยู่ที่...
คนแต่ละคน...รับได้...กับสถานที่แบบไหน

อยู่ตรงนี้แล้วมีความสุขก็อยู่ต่อไป 
แต่ถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุขก็ออกไปตามหาที่ใหม่ ที่อยู่แล้วมีความสุข

ซึ่งมันก็คือ ความสุข ณ จุดที่ยืน นั่นเองครับ...

........





วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วันเกิดแม่ผม...


วันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา...
มันเป็นวันธรรมดา 1 วันของคนทั่วๆไป

แต่สำหรับผม มันคือวันเกิดของผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิต
นั่นคือ วันเกิดของแม่ผม

ผ่านมาอีก 1 ปี แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ
แม่ผมแก่ขึ้นอีกปี และที่สำคัญปีนี้ ครบรอบ 60 ปี
คนจีนเรียกว่า แซยิด

แซยิด คือวันครบรอบ 60 ปีบริบูรณ์พิธี แซยิด ถือเป็นพิธีกรรมผ่านช่วงอายุ ที่สำคัญพิธีหนึ่ง ชาวจีนถือว่า เมื่อบุคคลมีอายุครบ ๖๐ ปี แสดงว่าบุคคลนั้นได้บรรลุความเป็นคนอย่างสมบูรณ์ เพราะได้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มาครบ  มีประสบการณ์เกือบทุกด้าน ชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับพิธีนี้ โดยถือว่าบุคคลที่อายุครบ ๖๐ ปี หรือ ๕ รอบอายุ ได้บรรลุความเป็นผู้อาวุโสทั้งในระดับครอบครัวและชุมชน พิธี แซยิด จึงเป็นทั้งกิจกรรมในระดับครอบครัวและชุมชนเพราะนอกจากจะมีสมาชิกในครัวเรือนมาร่วมด้วยแล้ว คนในชุมชนจะมาร่วมพิธีฉลองเพื่อรับรู้ความเป็นผู้อาวุโสอีกด้วย


แต่ปีนี้เราไม่ได้กลับบ้านไปหาแม่เลย เนื่องจากติดธุระที่บริษัท
แต่ของขวัญเราได้เตรียมไว้แล้ว
ได้แต่ตอนเย็นไปนั่งสมาธิที่วัด ทำบุญให้คุณแม่...
แล้วก็โทรไปบอกแม่ว่า แม่ผมรักแม่มากน๊าาาา...

พอกลับมาถึงห้อง ก็นั่งคิดทบทวน ว่า 1 ปีที่ผ่านมา
เราได้ทำอะไรเพื่อท่านบ้าง ทำดีที่สุดหรือยัง
แล้วน้ำตามันก็ไหล รู้สึกว่า

เรา นายกุ๊กกล้า... ยังทำอะไรได้ไม่ดีที่สุด
ยังทำเพื่อแม่ไม่ได้ในหลายๆเรื่อง

แต่แม่ครับ ถึงแม่จะไม่ได้อ่านที่ผมเขียนไว้ที่นี้
ผมสัญญานะ ว่าผมจะทำให้ดีที่สุด

รักแม่มากนะครับ รักพ่อมากเหมือนกัน
ไม่มีรักใดๆที่ให้ผมได้ เท่าที่แม่กับพ่อให้ผมแล้ว

==================================


ดวงใจแม่ รักลูก เท่าชีวิต
คอยประสิทธิ์ ประสาท วิชาให้
คำสั่งสอน ล้วนออก มาจากใจ
เพื่อมอบให้ ลูกทุกคน ส่องนำทาง

หยดหนึ่งน้ำ นมแม่ ลูกซาบซึ้ง
ลูกคำนึง ถึงความหลัง ยังสุขสม
แม่รักลูก คอยเลี้ยงดู อย่างชื่นชม
เป็นดั่งพรหม สร้างโลก ให้ลูกเดิน

ดอกมะลิ จากใจ มอบให้แม่
แทนซึ่งคำ รักแท้ ที่ยิ่งใหญ่
ลูกสัญญา จะทำดี ตลอดไป
เป็นดั่งใจ แม่เมตตา ค่าน้ำนม

แม้ลูกนี้ จะสำเร็จงาน ตามประสงค์
แม่ก็ยัง คอยเป็นห่วง เทียวไถ่ถาม
กลัวแต่ลูก เหน็จเหนื่อย อยู่ทุกยาม
เฝ้าติดตาม ห่วงใยลูก ตลอดเวลา..........

แม่จ๋า ลูกรักแม่ที่สุดในโลกจ้า




วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จิตใต้สำนึก ( ภาค2 )

สวัสดีครับไม่ได้หายไปไหน
วันอาทิตย์ก็ตามที่บอกว่าต้องไปอบรมจิตใต้สำนึกต่อ
(วันที่อาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556)
แต่ไม่ได้กลับมาเล่าให้ฟังเพราะหลับ... หลับจริงๆเหนื่อยมาก


วันนี้ก็เหมือนเคยไปช้า ถึงก็ 9.33 น. แล้ว...

อาจารย์กำลังพูดถึงเรื่องพุทธจิตวิทยา...
จิตวิทยาในแนวพุทธศาสนา
คือคำตอบสำหรับการแก้ปัญหาความทุกข์

จิตวิทยา.. ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ภาษากายและจิตใต้สำนึก ( Body & Mine )

พุทธจิตวิทยา...ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ ขันทั้ง 5 ( รูป เวทนา สัญญา สังขาล วิญญาณ )
     1. รูป คือร่างกาย
     2. เวทนา คือความรู้สึก
     3. สัญญา คือความทรงจำ
     4. สังขาล คือการปรุงแต่ง ความคิด จิตสำนึก
     5. วิญญาณ คือจิตไร้สำนึก หรือจิตใต้สำนึก
         (อาจารย์บอกว่า จิตไร้สำนึก และจิตใต้สำนึก มีความต่างกัน แต่ไม่ได้ลงในรายละเอียด)

และกล่าวถึงจุด จักระทั้ง 7...

แล้วก็พานั่งสมาธิเพื่อลบปมในใจหรือสิ่งที่ค้างคาในใจ
ผมทำแล้วแต่ยังไม่เห็นอะไร
แต่เพื่อนๆในชั้นแต่ล่ะคนก็ได้ประสบการณ์มา

ตอนบ่ายอาจารย์ได้ให้แต่ล่ะคนมาเล่าเรื่องที่เป็นปมในตัวของตัวเองให้
เพื่อนร่วมชั้นฟัง ซึ่งแต่ล่ะเรื่องที่ผมได้ฟัง ทำให้ผมกลับมาคิดได้ว่า
ปัญหาที่เกิดกับเรามันช่างน้อยนิด...

เรื่องในชั้นเรียนมีทั้งเรื่องที่เล่าได้ และเล่าไม่ได้
ผมขอไม่เล่า ผมขอเก็บเป็นความรู้สึกๆดีแบบนี้ตลอดไปนะครับ
หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะกลับมาพบกันอีกครั้ง

สิ่งที่ได้จากการอบรมครั้งนี้ คือข้อคิด และสติ
ได้ความคิดแง่บวก ทำให้เราลืมเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดีในอดีตไปได้หลายเรื่อง
ได้รับรู้ความรู้สึกของคนอื่น
ได้รับรู้ความรู้สึกของความรักที่แม่มีต่อลูก
ได้รับรู้ความรู้สึกของลูกที่มีต่อแม่
และที่สำคัญที่สุด ได้รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง...

ขอบคุณอาจารย์ และเพื่อนๆร่วมชั้นทุกคนที่ทำให้ผมได้รู้สึกดี
ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้หัวใจของผมพองโตได้อีกครั้ง...

ชมภาพทั้งหมดได้ที่นี้...








วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จิตใต้สำนึก ( ภาค1 )


โอ้ววว... ผ่านมาหลายวันไม่ได้เขียนบทความเลย
เนื่องจากว่าติดภาระกิจต้องไปไซต์งานลูกค้าทั้งอาทิตย์
ต้องตื่นแต่เช้า ต้องกลับห้องดึก เหนื่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
บ้างวันกลับมาถึงห้อง ก็ว่างกระเป๋าแล้วนอน  ไม่ได้อาบน้ำเลย... 55
ตื่นมาเหม็นตัวเองมากมาย...



วันนี้ผมได้มีโอกาสเข้าอบรมเกี่ยวกับจิตใต้สำนึก
กับอาจารย์พงศ์ปกรณ์...
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเข้าอบรมหรือเปล่า
เพราะลังเลใจว่าศาสตร์ด้านนี้มีจริงหรือไม่
จิตใต้สำนึก...จะสามารถเข้าถึงความรู้สึกที่ผมเก็บไว้ได้หรือเปล่า

เนื่องจากความรู้สึกนึกคิดของผม โดยส่วนตัวแล้ว
ผมเป็นคนที่เก็บกด เก็บความรู้สึก
จนในบ้างครั้งมักจะทำตัวไม่ดี แสดงพฤติกรรมไม่ดีออกมาได้

แต่น้อยคนนักที่จะรับรู้อารมณ์ส่วนนี้ของผมได้
อาจจะเพราะบุคลิกข้างนอกของผมเป็นคนที่ร่าเริง พูดคุยสนุกสนาน


เวลาเริ่มอบรม 9.00 น. ก่อนนอนวางแผนไว้ว่าต้องตื่นหกโมงครึ่ง
อาบน้ำ แปรงฟัน เดินทางไปท่าน้ำนนท์ เพื่อที่จะขึ้นเรือเจ้าพระยา
ไปลงที่ท่าสะพานพุทธ เพราะอบรมอยู่แถวนั้น
แต่ปรากฏว่าตื่นเจ็ดโมงครึ่ง โอ้ยๆๆ แย่ล่ะไปไม่ทันล่ะตรู
ได้แต่วิ่งผ่านน้ำ แต่งตัวแล้วกระโดดขึ้น taxi เพื่อไปท่าน้ำนนท์
ตามคาด สายชัวร์ๆๆๆๆ

ผลคือไปถึงสะพานพุทธ 9.05 น. แต่คุณพระช่วย
ทำไมตรูปวดท้องอย่างนี้ ปวดหนักซะด้วย มาถูกที่ถูกเวลาอีกแล้ว
สายก็สายแล้วนะ ดันมาปวดท้องอึอีก
ได้แต่วิ่งไปหาพี่ที่กวาดถนนอยู่เพื่อหาห้องน้ำ เกือบไม่ทัน
พอเสร็จธุระก็รีบวิ่งแจ่นไปที่โรงแรมที่ทำการอบรม
ไปถึงก็ 9.45 น. ได้
ได้แต่นึกในใจว่า... มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่าไม่มา...

ก่อนที่จะเข้าในห้องผมคิดในใจว่า ผู้ที่เข้าอบรมด้วยน่าจะมีแต่ผู้สูงอายุที่สนใจ
ผลปรากฏว่าเจอคนหลากหลายอายุมาก เด็ก ม.1 ก็มี  โอ้ววววววว
ไม่ใช่มีแต่เราที่สนใจแล้ว

แต่พอได้พูดคุยทำให้ตกใจกว่าเดิมอีก เพราะแต่ล่ะคนมาจากต่างจังหวัดกันทั้งนั้น
พี่อ้อย...มาจากสุราษณ์
พี่เพชร...มาจากนครสวรรณ์
มีคู่แม่ลูก...ที่มาจากต่างจังหวัด
มีพี่หมอดูด้วยนะ... พี่แกก็มาจากทางใต้เลย
ตอนนี้ได้แต่คิดในใจว่า ตรูอยู่แค่นี้กว่าจะมามาได้ คิดแล้วคิดอีก
ยังมีอีกหลายคนที่ผมยังไม่ได้พูดถึงนะครับ
(จริงๆจำชื่อไม่ได้ ที่อยู่ก็ลืม.... นิสัยขี้ลืมแย่จริงๆ)

วันนี้อาจารย์เน้นสอนเรื่อง
จิตวิทยา จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และก็เรื่องของหลักของพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้อง
เน้นเลือกเปลี่ยนความคิดเหตุ
เน้นให้ทุกคนเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยประทับใจ
เน้นให้ทุกคนเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยฝั่งใจ
เน้นสอบถามหาเหตุผลที่เข้ามารับการอบรม
เน้นสอบถามความคาดหวังที่จะได้รับ
และที่สำคัญที่สุดเน้น ปมที่อยู่ในใจของตัวเอง...


พี่อ้อย แว้วแรกที่เหตุ คนนี้ดูสุขุมมาก มารู้ทีหลังว่าแกเป็นนักจิตวิทยา
แกมาเรื่อนเพื่อที่จะเอาศาสตร์จิตใต้สำนึกไปช่วยในการบำบัดคนไข้

พี่เพชร พี่คนนี้ผมที่อยู่ในใจเหมือนผมมาก มากจริงๆนะครับ
เพราะเรื่องที่แกเล่า เรื่องที่แกพูดความรู้สึกเหมือนผมเลย
โตมากับคุณย่า โตมาในครอบครัวที่เคร่งครั่ด และอีกหลายๆเรื่อง
ที่โดนปลูกฝั่งตั้งแต่เด็ก จนทำให้มันเป็นปมที่ปิดกันอะไรบ้างอย่าง
ให้กว้าเดินต่อไปไม่ได้

คู่แม่ลูก คู่นี้เห็นแว้ววววว แรกเป็นคู่แม่ลูกที่รักกันมาก
แต่พอนั่งไปสักพักก็เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากการที่แม่คาดหวัง
อยากให้ลูกเรียนได้ดีกว่านี้ ทำได้ดีกว่านี้ พี่แกจะจัดการบังคับลูกทุกเรื่อง
เรื่องเที่ยว เรื่องดูทีวี เรื่องการทำการบ้าน เรื่องอ่านหนังสือ เรื่องเรียนพิเศษ
(จริงๆแล้วเหมือนเราตอนเด็กเลยนะเนี่ย)
ส่วนตัวลูก อ้อลืมบอกน้องเขาเป็นคนที่มีสมาธิสั่นนะครับ
ตัวน้องเขาเป็นคนที่เรียบร้อยไม่ดื้อไม่ชน
แต่เหมือนสิ่งที่น้องทำมันเป็นการ Anti ในสิ่งที่แม่บังคับ
ทั้งที่ทำไปก็รักแม่นะ
ผมว่าคู่นี้เกิดจากความคาดหวังของแม่อยากให้ลูกขยัน
ส่วนตัวน้องเกิดจากการโหยหาความเข้าใจจากแม่  ว่าผมตั้งใจทำแล้วนะ แต่ได้เท่านี้

พี่หมอดู  พี่คนนี้มาเพราะลูกเช่นกัน ลูกแกมีอาการทางจิต
พออาจารย์ได้พูดคุย ทำให้รู้ว่าเกิดจากปัญหาครอบครัว
ทำให้เด็กเก็บกดจนเกิดเป็นอารมณ์ทางจิตขึ้นครับ
พี่คนนี้ส่วนตัวแกก็มีปมนะครับ
เพราะพี่แกอยู่ในเหตุการณ์รถแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรี แกอยู่บนตึกชั้นบนๆ
แกมองลงมาแล้วเหตุภาพที่เกิดขึ้น ทำให้แกฝั่งใจ
แกไม่สามารถหุงหาอาหารได้ เห็นถังแก๊สไม่ได้
ถ้าปิดถังแก๊ส แกจะบิดแน่นจนเปิดไม่ออก ได้กลิ่นแก๊สก็ไม่ได้
ผมว่าถ้าเกิดกับผม ผมก็คงทรมานเหมือนกัน

มีพี่อีกคน จำชื่อไม่ได้  พี่คนนี้เป็นคนที่โหยหาความรักจากแม่ครับ
แกคิดว่าแม่ไม่รัก ให้แต่เงินไม่ได้ให้ใจ และก็ติดยาเสพติดด้วยครับ
ยังเลิกไม่ได้ด้วย
ผมว่าสิ่งที่แม่แกทำให้แก ผมว่าแม่พี่เขารักเขามากนะครับ
แต่พี่เขาอัตตราสูงมาก คิดว่าแม่ไม่รักมีแต่เพื่อนที่รักตัวเอง จนเกิดปมในใจครับ

จากการที่ผมได้ฟังปัญหาต่างๆ (ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เล่านะครับ)
ทำให้ผมรุ้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่ผมที่มีปมที่อยู่ในใจ
ยังมีอีกหลายคนที่มี และยังเหมือนกับผมด้วย

วันนี้ผมกลับมาห้องด้วยหัวใจที่พอโตเท่าเดิม (แต่ก่อนแฟ้บอยู่)
เพราะเหมือนได้ไประบายความในใจ
ให้ใครที่เราไม่รู้จักได้ฟัง มันสบายใจ มันเบาตัว
ได้กำลังใจ ได้กัลยาณมิตร ได้ที่ที่ผมยืนได้บนโลกนี้

แล้วก็จบคลาสในวันนี้ เดินทางกลับบ้าน
เพื่อเตรียมตัวมาอบรมต่ออีกวันพรุ่งนี้

เพื่อนๆคนไหนมีปัญหาที่เก็บอยู่ในใจ ไม่สบายใจ
ลองมองหาใครสักคน แล้วเล่าให้เขาฟัง
เชื่อผมสิ... คุณจะรู้สึกดี คุณจะรู้สึกตัวเบา เหมือนผมวันนี้

กำลังใจ....